วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ภาวะโลกร้อน


เรามารู้จักกับภาวะโลกร้อน กันหน่อยนะค่ะ เพราะว่าตอนนี้อากาศบ้านเรา เปลี่ยนแปลงบ่อยเหลือเกิน หน้าหนาวกลายเป็นหน้าร้อน หน้าร้อนกับมีฝนตก จนเดี๋ยวทุกวันนี้ ไม่รู้แล้วว่าฤดูไหนเป็นฤดูไหนกันแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เพราะเป็นผลมาจากโลกร้อนเกือบทั้งส็น ดิฉันจึงอยากให้ทุกคนช่วยกันลดภาวะโลกร้อนกัน
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) คือ การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากผลของภาวะเรือนกระจก หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า Greenhouse Effect โดยภาวะโลกร้อน ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ, การขนส่ง และการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
นอกจากนั้นมนุษย์เรายังได้เพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์ และคลอโรฟลูโรคาร์บอน (CFC) เข้าไปอีกด้วยพร้อมๆ กับการที่เราตัดและทำลายป่าไม้จำนวนมหาศาลเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ ทำให้กลไกในการดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิภาพลง และในที่สุดสิ่งต่างๆ ที่เราได้กระทำต่อโลกได้หวนกลับมาสู่เราในลักษณะของ ภาวะโลกร้อน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
ปรากฏการณ์ทั้งหลายเกิดจากภาวะโลกร้อนขึ้นที่มีมูลเหตุมาจากการปล่อยก๊าซพิษต่าง ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้แสงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาสู่พื้นโลกได้มากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นที่รู้จักกันโดยเรียกว่า สภาวะเรือนกระจก
พลังงานจากดวงอาทิตย์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีทั้งรังสีคลื่นสั้นและคลื่นยาว บรรยากาศของโลกทำหน้าที่ปกป้องรังสีคลื่นสั้นไม่ให้ลงมาทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกได้ โมเลกุลของก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจนในบรรยากาศชั้นบนสุดจะดูดกลืนรังสีแกมมาและรังสีเอ็กซ์จนทำให้อะตอมของก๊าซในบรรยากาศชั้นบนมีอุณหภูมิสูง และแตกตัวเป็นประจุ (บางครั้งเราเรียกชั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยประจุนี้ว่า "ไอโอโนสเฟียร์" มีประโยชน์ในการสะท้อนคลื่นวิทยุสำหรับการสื่อสาร) รังสีอุลตราไวโอเล็ตสามารถส่องผ่านบรรยากาศชั้นบนลงมา แต่ถูกดูดกลืนโดยก๊าซโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์ที่ระยะสูงประมาณ 19 - 48 กิโลเมตร แสงแดดหรือแสงที่ตามองเห็นสามารถส่องลงมาถึงพื้นโลก รังสีอินฟราเรดถูกดูดกลืนโดยก๊าซเรือนกระจก เช่น ไอน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นโทรโปสเฟียร์ ส่วนคลื่นไมโครเวฟและคลื่นวิทยุในบางความถี่สามารถส่องทะลุชั้นบรรยากาศได้
ผลกระทบต่อประเทศไทย ระดับน้ำทะเลขึ้นสูง
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้นอีกถึง 90 เซนติเมตรในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบทั้งทางด้านกายภาพและชีวภาพต่างๆหลายประการ
สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยประเมินไว้ว่า มีสิ่งชี้ชัดในเรื่องความเป็นไปได้ของภาวการณ์ขาดแคลนน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และอุทกภัยที่ถี่ขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้นในพื้นที่ราบลุ่ม โดยเฉพาะในบริเวณชายฝั่งของกรุงเทพฯที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง และอยู่เหนือระดับน้ำทะเลเพียง 1 เมตร โดย ระดับการรุกของน้ำเค็มจะเข้ามาในพื้นที่แม่น้ำเจ้าพระยาถึง 40 กิโลเมตร ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพื้นที่เกษตรกรรมที่มีความอ่อนไหวต่อความสมดุลของน้ำจืดและน้ำเค็มในพื้นที่ นอกจากนี้ กรุงเทพฯยังมีความเสี่ยงต่อความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำล้นตลิ่งและอุทกภัย ที่จะก่อความเสียหายกับระบบสาธารณูปโภค ที่อยู่อาศัยของคนจำนวนมาก รวมถึงผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจที่จะตามมา
ส่วนพื้นที่ชายฝั่งจะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน โดยผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่อพื้นที่ชายฝั่งแตกต่างกันไปเป็นกรณี เนื่องจากประเทศไทยมีพื้นที่ชายฝั่งหลายแบบ เช่น พื้นที่ชายฝั่งที่เป็นหน้าผา อาจจะมีการยุบตัวเกิดขึ้นกับหินที่ไม่แข็งตัวพอ แต่กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนชายหาดจากเพชรบุรีถึงสงขลาซึ่งมีลักษณะชายฝั่งที่แคบจะหายไป และชายหาดจะถูกร่นเข้ามาถึงพื้นที่ราบริมทะเล
ส่วนพื้นที่ป่าชายเลนจะมีความหนาของพรรณไม้ลดลง เนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจะทำให้พืชตาย แอ่งน้ำเค็มลดลงและถูกแทนที่ด้วยหาดเลน ในขณะที่ปากแม่น้ำจะจมลงใต้น้ำทำให้เกิดการชะล้าง พังทลายของพื้นที่ลุ่มน้ำ โดย ทะเลสาบสงขลาซึ่งเป็นแหล่งน้ำชายฝั่งจะมีพื้นที่เพิ่มขึ้นและอาจมีน้ำเค็มรุกเข้ามามากขึ้น
ตัวอย่างอื่นๆของพื้นที่ที่จะได้รับความเสียหาย คือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอีก 1 เมตร พื้นที่ร้อยละ 34 ของจังหวัดจะถูกกัดกร่อนและพังทลาย ก่อให้เกิดความเสียหายกับพื้นที่การเกษตรและนากุ้งในบริเวณดังกล่าวด้วย

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การฝึกดิ่งพสุธาของทหารพลร่ม พัน. ปจว


ความประทับใจเล็กๆน้อย รัตน์เก็บมาฝากทุกคนเป็นการฝึกโดดร่มดิ่งพสุธา


ของทหารพลร่ม กองพัน ปฏิบัติการจิตวิทยา ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ณ สนามโดดท่าเดื่อ จ. ลพบุรี



คงตื่นเต้นน่าดู ใช่ใหมค่ะ




เห็นการฝึกครั้งนี้แล้วเป็นไงบ้างค่ะ เกิดหัวใจรักชาติการบ้างหรือยังค่ะ










































































เศรฐกิจพอเพียง


เศรษฐกิจพอเพียง
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผลรวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
ประมวลและกลั่นกรองจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระราชทานในวโรกาสต่าง ๆ รวมทั้งพระราชดำรัสอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำไปเผยแพร่ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2542 เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายและประชาขนโดยทั่วไป" อันนี้เคยบอกว่า ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่า
ทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวจะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไปแต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควรบางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการ ก็ขายได้แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก "
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2540

แอ๋วเมืองเหนือ


ปีใหม่ปีนี้จะชวนไปแอ๋วเมืองเหนือและดูบรรยากาศฤดูหนาวที่ดอยอินทนนท์ที่จังหวัดเชียงใหม่


และเลยขึ้นไปถึง แม่ฮ่องสอน



วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จดหมายของเด็กยะลาที่ส่งไปให้ทหารใน 3 จชต.

ดิฉันได้อ่านบทความบทความหนึ่ง รู้สึกเห็นใจคนใต้และเหล่าทหารหาญภาคใต้เป็นอย่างมาก จึงได้นำบทความนั้นมาให้ คนที่สนใจ และสร้างความเข้าใจ อีกครั้ง
จดหมายของเด็กยะลาที่ส่งไปให้ทหารใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
นี่เป็นบทความจากเด็กยะลาคนหนึ่งนะค่ะ ที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพ
ถึง คุณลุงทหาร
บ้านเกิดผมอยู่ที่ยะลาครับ พวกคุณลุง คงรู้กันใช่มั๊ยครับว่ากำลังเกิดเหตุการณ์อะไรในนั้น .... มีคนบริสุทธ์โดนฆ่าตายทุกวัน ๆ แม่ผมโทรมาหาผมบ่อย ๆ ถ้ามีเวลาว่างผมก็จะพยายามโทรหาแม่ครับ ผมกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้คุยกับเค้าอีก ... ผมกลัวจริง ๆ แม่บอกว่า วันที่ 2 นี้เค้าอาจจะชักธงชาติของรัฐปัตตานีขึ้นแล้ว ถ้าพวกนั้นทำได้ก็หมายความว่าเราจะไม่ใช่คนไทยอีก จะกลับบ้านผมก็ต้องใช้ passport เพื่อนกลับบ้านเกิดตัวเอง ... ผมกำลังจะเป็นคนต่างชาติไปแล้ว แต่ก่อน.......... ผมเรียนหนักมาก ผมมีกำลังใจทุกครั้งที่แม่โทรมา ผมยอากคุยกับแม่บ่อย ๆ ( ถึงบางครั้งมะม๊าจะดุเรื่องใช้เงินเยอะก็เถอะ ) แต่ตอนนี้....... ทุกครั้งที่แม่โทรมา ผมใจเสียตลอดเลยครับ ผมกลัว ... กลัวว่าจะได้ยินข่าวร้าย ผมกลัวทุกครังที่ที่บ้านโทรมา ผมกลัว แม่บอกว่าตอนนี้เราต้องใช้เงินให้ประหยัด เพราะคนงานเค้าไม่กล้าออกไปทำสวนยางให้ เค้ากลัวว่าจะโดนฆ่า เถ้าแก่สวนยางเลยต้องเดินทางไปสวนของตัวเองบ่อย ๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้ ... แม่ต้องขับรถเข้าออกสวนของเรา 2 วันครั้ง ระยะทาง20กิโลกว่า ๆ ต้องผ่านหมูบ้านอิสลาม หลายหมู่บ้าน ผมกลัวอีกแล้ว ราคายางก็ตกลงทุกวัน ๆ จนคนงานบางคนนึกว่าไม่คุ้มกับค่าเหนื่อย+เสี่ยงกับตายฟรี ๆ ด้วยก็พากันลาออกไป สวนยางบางที่ก็มาเล่าให้แม่ฟังว่า เค้าหนีไปอยู่วัดเพราะกลัวอันตราย แต่พอกลับมาที่สวน ต้นไม้ทุกต้นที่อุสาต์ปลูกมาเป็น 10 ปีกว่าจะใช้งานออกผลได้ก็ถูกพวกโจรใต้ตัดทำลายไปไม่เหลือชื้นดี เค้าร้องไห้เพราะชีวิตไม่เหลืออะไรแล้ว แม่ผมไม่ให้กลัวว่าเค้าจะมาทำร้ายแม่ แต่กลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ลูก ๆ จะอยู่ยังไง ตอนนี้พวกโจรแจกจดหมายไปทั่วเมืองว่าห้ามเราทำงาน ห้ามออกจากบ้าน ห้ามอยู่ไกล้กับพวกตำรวจ ไม่งั้นเค้าจะตามฆ่าถึงบ้าน คนที่เค้าทนไม่ไหวก็ต้องยอมขายบ้านขายที่ดินในราคาถูก ๆ ไปแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นแทน คนแถวนั้นก็น้อยลงทุกวัน ๆ แม่พูดว่าถ้าเค้าเอาจังหวัด 3 จังหวัดเป็นประเทศเค้าได้จริง ๆ ..ถ้าเค้าปกครองดีก็ดี แต่มันก็มีเปอร์เซ็นต์ที่เค้าจะไล่คนจีนคนไทยออกไปให้หมด น้องสาวผมเรียนอยู่ปัตตานี ตั้งใจเรียนตลอด อ่านหนังสือถึงตี 2 ตื่น 7 โมงเช้าทุกวัน เรียนได้ 4.00 ตลอดเพราะอยากทำให้แม่ดีใจ ...เวลามันกลับบ้านทีนึงผมต้องโทรเช็คตลอดว่าถึงบ้านรึเปล่า แม่ต้องย้ำเสมอว่ากลับมายะลาต้องกลับเช้าส ๆ นะเพราะโจรมันจะฆ่าคนส่วนใหญ่ตอนกลางวัน ผมไม่เป็นอันทำอะไรเวลารู้ว่าน้องจะกลับบ้าน กลัวมันจะโดน ......... ฆ่า(อย่างที่คุณลุงคิดละครับ) สุขภาพจิตผมแย่มาก ๆ ร้องไห้ก่อนอนทุกวัน ไม่มีสมาธิเรียนหนังสือเลยครับได้แต่อยู่กับเพื่อน ๆ แล้วหลอกตัวเองว่ากูมีความสุขทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ ผมคิดอยากกลับบ้านไปหาแม่ อยากตาย ... ตายในอ้อมกอดแม่ก็ยังดี ทำไมคนไม่กี่คนสามารถสร้างความเสียหายได้ขนาดนี้ล่ะครับ แล้วรัฐบาลเค้าทำอะไรอยู่อ่ะครับ เค้าไม่เห็นจะแคร์เลยว่าคนที่นั่นจะเป็นยังไง เค้ามีคนเยอะกว่าพวกโจรอีกแต่ทำไมเค้ายังจับโจรไม่ได้เลยล่ะครับ ถ้าผมพิมพ์ตรงไหนผิดผมก็ขอโทษจริง ๆ ครับ นั้งพิมพ์ไปน้ำตาก็ไหลมองแป้นไม่ได้เลยครับ ... ผมยังอยากเป็นคนไทย ผมอยากอยู่แบบไม่ต้องกังวลอะไร ผมคิดถึงบ้านเกิด ... เมืองที่หมอกลงตอนหน้าหนาวปกคลุมทั้งเมือง เมืองที่ผู้คนยิ้มแย้มให้กัน อยู่ด้วยกันทั้งคนจีนคนไทยคนอิสลาม มันไม่มีอีกแล้วใช่มั๊ยครับ... ผมไม่รู้ว่าวันไหนโชคร้ายจะมาเยี่ยมบ้านผม....ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ....ผมก็จะตามแม่ไปครับ เป็นห่วงแม่และทุกคนที่นั่นนะครับ ท้ายนี้ผมขอให้ช่วยบ้าน ช่วยแม่ผมด้วยครับ ขอบพระคุณครับ ................................................
เพื่อความปลอดภัยขออนุญาตไม่เผยแพร่ชื่อ ขอบคุณ
http://www.torakhong.org/kratoo.php?t=6190
คนเราจะฆ่าล้างกันไปเพื่ออะไร?......แล้วรัฐบาลทำอะไรได้บ้างนอกจากทะเลาะกัน